





หลวงพ่อศิลา วัดทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย
วัดทุ่งเสลี่ยม
ตั้งอยู่ที่ บ้านศรีเสลี่ยม ตำบลทุ่งเสลี่ยม อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย วัดทุ่งเสลี่ยมเป็นสถานที่ประดิษฐานของ หลวงพ่อศิลา เป็นพระพุทธรูป สกัดจากหินทรายสีเทา ศิลปะทวารวดี พบอยู่ในถ้ำเจ้าราม เคยถูกโจรกรรม และกลับมาประดิษฐานที่วัดทุ่งเสลี่ยม เทศบาลตำบลทุ่งเสลี่ยม
ลักษณะ
หลวงพ่อศิลา เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกทรงเครื่อง แกะสลักจากหินทรายสีเทา ฝีมือประณีตงดงามมาก หน้าตักกว้าง 44 เซนติเมตร สูง 86 เซนติเมตร น้ำหนัก 300 ปอนด์ องค์พระประทับนั่งขัดสมาธิราบบนขนดพญานาค 3 ชั้น มี 7 เศียรแผ่พังพาน ศิลปะลพบุรี ที่ได้รับอิทธิพลจากขอม พุทธศตวรรษที่ 16-17 ประมาณพุทธศักราช 1650-1725 ซึ่งคาบเกี่ยวกับศิลปะแบบบายนของขอม (พุทธศักราช 1724-1780) เป็นพระพุทธปฏิมาประธานในมณฑปเรือนยอด วัดทุ่งเสลี่ยม มีความงดงามทางศิลปกรรม ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นพระพุทธรูปโบราณที่สลักหินปางนาคปรกองค์เดียวที่เป็นศิลปะไทยแท้ มีความศักดิ์สิทธิมาก ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงประทานความเห็นไว้ว่า " พระพุทธรูปองค์นี้ ที่กระบังหน้ามีแนวขึ้นมาตรงกลาง ลักษณะเช่นนี้เป็นรูปแบบของโบราณวัตถุที่ทำขึ้นในประเทศไทยด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ศิลปะแบบลพบุรี เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากศิลปะเขมร เพราะแม้ลักษณะทั่วไปจะดูคล้ายกัน แต่พระพักตร์นั้นไม่เป็นแบบขอม
คำแนะนำที่ทรงประทานนี้ ได้รับการยืนยันโดย นายอาวุธ สุวรรณาศรัย ห้วหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่ง กรมศิลปากรได้ส่งมาตรวจพิสูจน์อายุและคุณค่าทางศิลปวัตถุขององค์พระ ดังนี้ " องค์พระพุทธรูปศิลานั้นแกะสลักจากหินทรายเทา มีความสมบูรณ์และมีลักษณะพิเศษที่ชัดเจนมาก กล่าวคือ มีผ้าทิพย์รองรับตัวองค์พระ ซึ่งปกติแล้วจะเดินเป็นเส้นตรงมากกว่า นอกจากนี้บริเวณด้านหลังมีลายดอกจันที่ขุดลึกลงไปในเนื้อหิน ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบมักเป็นลายขีดธรรมดา สาเหตุที่องค์พระมีความสมบูรณืไม่บุบสลายไปตามกาลเวลา น่าจะเป็นเพราะตั้งอยู่ในถ้ำ ไม่ได้จมอยู่ในดินเหมือนองค์อื่น ๆ ที่เคยขุดพบ ลักษณะนั้นเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ศิลปะผสม ลักษณะสำคัญซึ่งบ่งชี้ว่า ไม่ใช่ศิลปะแบบบายนแท้ก็คือ พระพักตร์จะไม่แย้มพระโอษฐ์ ผิดกับเทวรูปกษัตริย์ชัยวรมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะแย้มพระโอษฐ์ทุกพระองค์ จากการตรวจสภาพเนื้อหิน ยืนยันได้ว่าเป็นของแท้ สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 เป็นศิลปะลพบุรีที่ได้รับอิทธิพลจากเขมร มีคุณค่ามากด้านการศึกษาประวัติศาสคร์ศิลปะ...."
ประวัติหลวงพ่อศิลา
หลวงพ่อศิลา เป็นพระพุทธรูปคู่บ้าน คู่เมืองทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย สันนิษฐานว่ามีอายุกว่า 800 ปี ได้ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2472 แต่เดิมนั้นหลวงพ่อศิลาประดิษฐานอยู่ที่ถ้ำเจ้าราม ซึ่งเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ภายในมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ชาวบ้านได้ไปหามูลค้างคาวในแถบถ้ำเจ้าราม ได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่งซึ่งเล่าให้ฟังว่า ภายในถ้ำเจ้ารามมีพระพุทธรูปเก่าแก่อยู่หลายองค์และองค์หนึ่งมีความงามโดดเด่นกว่าองค์อื่นใด เป็นพระพุทธรูปศิลานาคปรก เมื่อกลับถึงหมุ่บ้าน ชาวบ้านก็นำความมาเล่าให้พระอภัย เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม ซึ่งได้หารือกับผู้ใหญ่บ้านว่า จะนำพระพุทธรูปมาไว้ที่วัดทุ่งเสลี่ยม แต่เนื่องจากพระอภัยนั้นสูงอายุ เดินทางไม่ไหว จึงได้เลิกล้มความตั้งใจ ความได้ล่วงรู้ไปถึงครูบาก๋วน เจ้าอาวาสวัดแม่ปะหลวง ตำบลแม่ปะ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ซึ่งท่านก็มีความศรัทธา จึงได้รวบรวมคนเดินทางไปอัญเชิญ พระพุทธรูปปางนาคปรก ณ ถ้ำเจ้าราม เมื่อคณะเข้าสู่ภายในถ้ำเจ้าราม ได้พบพระพุทธรูปนาคปรก ซึ่งมีฝูงค้างคาวบินวนเวียนอยู่อย่างมากมาย ครูบาก๋วนจึงได้ทำพิธิอัญเชิญพระพุทธรูปออกจากถ้ำ และเดินทางรอนแรมมาด้วยความยากลำบาก ผ่านหนองปลาซิว (บ้านห้วยทราย) หนองส้มป่อย (บ้านน้ำดิบ) จนกระทั่งถึงอำเภอทุ่งเสลี่ยม เมื่อชาวบ้านอำเภอทุ่งเสลี่ยมรุ้ข่าว จึงพากันจัดขบวนดนตรีพื้นเมือง และขบวนฟ้อนรำมาต้อนรับความปิติยินดีถ้วนหน้า จวบจนขบวนอัญเชิญพระพุทธรูปนาคปรกเดินทางมาถึงวัดทุ่งเสลี่ยม ก็เกิดปาฏิหาร์ย์ขึ้น ท้องฟ้าที่แจ่มใส แสงแดดที่ร้อนแรงของเดือนเมษายนก็ถูกบดบังด้วยเมฆฝน เกิดฝนตกหนักเป็นเวลานาน เมื่อฝนหยุดตกก็มีฝูงค้าวคาวบินมาวนเวียนเหนือบริเวณวัดทุ่งเสลี่ยมแล้ว จึงบินกลับถ้ำเจ้าราม ชาวบ้านได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปศิลา จึงไม่ยอมให้ครูบาก๋วนอัญเชิญกลับไปยังอำเภอเถิน เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม จึงได้หารือไปยังเจ้าคณะอำเภอสวรรคโลก ซึ่งเจ้าคณะอำเภอได้ตัดสินให้ประดิษฐานไว้ ณ วัดทุ่งเสลี่ยม ชาวบ้านตั้งชื่อพระพุทธรูปนาคปรกนี้ว่า " พระศิลา " เพราะเห็นว่าแกะสลักมาจากหินทราย ครูบาก๋วนจึงได้จำลองพระศิลา กลับไปประดิษฐานไว้ที่วัดปะหลวง อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ด้วยใจศรัทธา
ถูกโจรกรรม
ครั้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2520 ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนเข้ามาโจรกรรมพระศิลาไปจากพระอุโบสถใหญ่ วัดทุ่งเสลี่ยม พระศิลาจึงได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่อยรอย อีก 17 ปีต่อมา เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2537 กลุ่มอนุรักษ์ชาวไทยในต่างแดนได้พบข่าวพระศิลาในประเทศอังกฤษ จึงได้เขียนจดหมายถึงบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์มติชนว่า ได้พบภาพพระพุทธรูปปางนาคปรก ในหนังสือประมวลศิลปวัตถุ เพื่อประมูลขายของ สถาบัน โซธบี (Sotheby Institute) ในกรุงลอนดอน หน้า 52 ความทราบถึงชาวอำเภอทุ่งเสลี่ยม ชาวบ้านจึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย และกรมศิลปากรเพื่อให้ทางราชการติดตามทวงถามพระพุทธรูปที่หายไป ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน กรมศิลปากรได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาหาแนวทางติดตามทวงคืนพระพุทธรูปศิลา ต่อมาหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษได้แจ้งให้ไทยทราบว่ามีผู้ประมูลพระพุทธรูปศิลาไปและถูกเคลื่อนย้ายไปที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ทนายความของผู้ครอบครองได้ติดต่อเข้ามาว่า ผุ้ครอบครองไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปที่ได้มาจากการโจรกรรม แต่จะคืนให้ประเทศไทยโดยเรียกร้องค่าชดเชยเป็นเงิน สองแสนเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 5,200,000.- บาท ในครั้งแรกทางรัฐบาลไทยพยายามาจะติดตามทวงคืนพระพุทธรูปศิลาโดยอาศัยกรณีที่คล้ายคลึงกันกับการหายของรูปปั้นเทพีในประเทศอิตาลี ที่สามารถติดตามทวงคืนได้โดยดำเนินการผ่านทางกระทรวงยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา ตามสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่เมื่อคณะผู้แทนไทยนำโดย ศาสตราจารย์อดุล วิเชียรเจริญ ซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจ เดินทางไปถึงประเทศสหรัฐอมริกา ทางหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) ได้แจ้งให้ทราบว่า การติดตามเรื่องนี้มิใช่คดีอาญา จึงอยู่นอกเหนืออำนาจของเอฟบีไอ รวมถึงการยื่นฟ้องตามสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ก็ไม่สามารพกระทำได้ ในที่สุด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2539 คณะกรรมการติดตามพระพุทธรูปศิลา นำโดยร้อยตำรวจโท เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขณะนั้น ได้เดินทางไปตรวจสอบพระพุทธรูปตามรอยตำหนิ และมอบค่าชดเชยรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้านเป็นจำนวนเงิน สองแสนหนึ่งพันเหรียญสหรัฐ ซึ่งนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการในเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหารฯ เป็นผุ้พิจารณาเห็นชอบ ให้การสนับสนุนค่าชดเชยนำพระพุทธรูปล้ำค่าของไทยกลีบคืนมา
กลับคืนสู่ประเทศไทย
วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2539 ขบวนอัญเชิญหลวงพ่อศิลากลับถึงประเทศไทย ณ สนามบินดอนเมือง มีชาวทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ได้เหมารถบัสจำนวนกว่า 10 คัน มารอรับองค์หลวงพ่อศิลา ภาพมหัศจรรย์ที่ปรากฎ คือ มีค้างคาวบินวนเวียนในสนามบินดอนเมือง ทั้งที่ความสว่างไสวของไฟสสปอต์ไลท์ ในสนามบินดอนเมืองนั้นไม่แพ้แสงแดดเวลากลางวัน ซึ่งเจ้าหน้าการท่าอากาศยานหลายคนได้ยืนยันว่าเท่าที่ทำงานมาหลายสิบปีไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะดำเนินการอัญเชิญหลวงพ่อศิลา นำโดยร้อยตำรวจโทเชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ และผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นำโดยนายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ เข้าเฝ้าเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายหลวงพ่อศิลา เนื่องในปีกาญจนาภิเษก ครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 พรรษา ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้แก่วัดทุ่งเสลี่ยม เช่นเดิม เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2540 ชาวทุ่งเสลี่ยมจึงได้จัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อศิลาเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันหลวงพ่อศิลาประดิษฐานอยู่ในมณฑป วิหารวัดทุ่งเสลี่ยม อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย โดยมีประชาชนจากทั่วประเทศเดินทางมากราบไหว้ด้วยความศรัทธาเป็นประจำตลอดมา
ปัจจุบัน ชาวทุ่งเสลี่ยมได้สร้างมณฑปถวายเพื่อประดิษฐานเป็นสง่า คู่บ้านคู่เมืองอย่างถาวรสืบมา
คาถาบูชาหลวงพ่อศิลา
อธิษฐานจิต ตั้งนะโม 3 จบ
พุทธบูชา มหาเตชะวันโต
ธัมมะบูชา มหาปัญญโญ
สังฆะบูชา มหาโภคะวะโห
ติโลกะนากัง อภิปูเชมิฯ